สำนวน put your foot in your mouth


พูดดีเป็นศรีแก่ปาก ผู้มากปากจะมีสี put your foot in your mouth แปลตรงตัวว่า เอาเท้ายัดปากตัวเอง เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่พูดถึงคนปากพล่อย หรือจะพูดอีกแง่ว่าปากหมานั่นเอง หมายถึงคนที่พูดไม่ดีออกไปโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้คนอื่นเกิดความไม่พอใจหรือขายหน้า

ตัวอย่างประโยค

I really put my foot in my mouth today. I asked Nancy if she was pregnant. She wasn’t!.
วันนี้ฉันปากพล่อยไปหน่อย ฉันถามแนนซี่ว่าเธอท้องหรือเปล่า เธอไม่ได้ท้อง!

Tom put his foot in his mouth when he told Marie that her hair was beautiful. It was a wig!
ทอมปากไวที่พูดกับแมรี่ว่าผมของเธอสวย ความจริงมันเป็นวิกผม!

สำนวน Play with fire



สำนวนอังกฤษ Play with fire ตรงกับสำนวนไทย เล่นกับไฟ  ใช้พูดถึงคนที่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายหรือทำอะไรที่อาจก่อให้ปัญหายุ่งยากตามมาภายหลัง

ตัวอย่างประโยค

You are dating two girls at the same time? I think you are playing with fire.
แกเดทสาวสองคนในคราวเดียวกันหรอ? ฉันว่าแกกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ

Women who play with fire must remember that smoke gets in their eyes.ผู้หญิงที่เล่นกับไฟต้องจำไว้ว่าควันไฟมันจะเข้าตา

โทรศัพท์แบตหมด พูดเป็นภาษาอังกฤษยังไง







เครื่องหมายและสัญลักษณ์ที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ




ลองดูสักตั้ง พูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง




สู้ๆนะ อย่าบอกว่า Fighting





สำนวน Be set for life มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ






ถ้ามีฝรั่งมาพูดกับคุณว่า He is set for life. ถ้าคุณแปลตรงตัวคุณอาจะแปลแบบงงๆว่า เขาถูกตั้งค่าสำหรับชีวิต โอ๊ยย...ชีวิตคนนะไม่ใช่มือถือจะมาตั้งค่งตั้งค่าอะไร 5555+

ความหมาย ‘be set for life’

แปลว่า มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ ร่ำรวยมีเงินมีทองมากทำให้ชีวิตสะดวกสบายไปตลอดทั้งชีวิต 

เนื่องจากคำว่า be เป็นคำกริยา ดังนั้นอย่าลืมผันตามรูปกาลและประธานด้วยนะจ๊ะ เช่น is set for life, was set for life, am set for life.


ตัวอย่างประโยค

He is set for life from winning the first prize of $10 million.
เขามีกินมีใช้ไปทั้งชาติจากการถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง 10 ล้านดอลลาร์

She married billionaire businessman, so she is set for life.
เธอแต่งงานกับนักธุรกิจพันล้าน ดังนั้นชีสิตเธอสุขสบายไปทั้งชาติ



การใช้ This/ That / These/ Those



การใช้ This/ That / These/ Those ไม่ได้เป็นเรื่องยากซับซ้อนอะไรเลยค่ะ ใช้เพื่อบอกว่าตำแหน่งของสิ่งนั้นอยู่ใกล้หรือไกลจากตัวผู้พูด แค่นั้นเอง ง่ายใช่ไหมล่ะ

  • This แปลว่า นี่ ใช้พูดถึงสิ่งใกล้ตัวผู้พูด ที่มีสิ่งเดียว (คำนามรูปเอกพจน์)
        This is a pen.
        นี่คือปากกาด้ามหนึ่ง
        This is Paula.
        นี่คือพรหล้า
  • That แปลว่า นั่น ใช้พูดถึงสิ่งไกลตัวผู้พูด ที่มีสิ่งเดียว (คำนามรูปเอกพจน์)

       That is my car.
       นั่นคือรถของฉัน
       That car is mine.
       รถคันนั้นเป็นของฉัน



  • These แปลว่า เหล่านี้ ใช้พูดถึงสิ่งใกล้ตัวผู้พูด ที่มีหลายสิ่ง (คำนามรูปเอกพจน์)

       These are my friends.
       เหล่านี้คือเพื่อนของฉัน
       Whose socks are these?
       ถุงเท้าเหล่านี้เป็นของใคร
  • Those แปลว่า เหล่านั้น ใช้พูดถึงสิ่งไกลตัวผู้พูด ที่มีหลายสิ่ง (คำนามรูปพหูพจน์)

       Those are my children.
       เหล่านั้นเป็นลูกของฉัน
       Who are those people?
       คนเหล่านั้นเป็นใคร




ทั้ง 4 คำ This/ That / These/ Those ทำหน้าที่ 2 อย่างได้แก่ ใช้เป็นคำนำหน้านาม (Determiner) และคำสรรพนามชี้เฉพาะ(Demonstrative Pronoun)


1. ใช้เป็นคำนำหน้านาม (Determiner) จะมีคำนามตามหลัง เพราะทำหน้าที่ขยายคำนามตัวที่ตามหลังมา เช่น

  This cat is so cute.
  แมวตัวนี้น่ารัก

  This book is very interesting.
  หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ

  That dog is dangerous.
  หมาตัวนั้นอันตราย

  That house is mine.
  บ้านหลังนั้นเป็นของฉัน

  Do you own all of these bags?
  เธอเป็นเจ้าของกระเป๋าพวกนี้หรือ?

  These pens belong my sister.
  ปากกาพวกนี้เป็นของน้องสาวฉัน

  Those cars are very expensive.
  รถยนต์เหล่านั้นราคาแพงมาก

  Those women are looking at me!
  พวกผู้หญิงเหล่านั้นกำลังมองฉัน

2. ทำหน้าที่เป็นคำสรรพนามชี้เฉพาะ (Demonstrative Pronoun) ไม่ต้องมีคำนามตามหลัง เช่น

  This is my telephone.
  นี่โทรศัพท์ของฉัน

  This is Ann. She is my sister.
  นี่แอน น้องสาวของฉัน

  Who is that?
  คนนั้นเป็นใคร?
   
  That is good idea.
  นั้นเป็นความคิดที่ดี

  These are my friends.
  คนเหล่านี้เป็นเพื่อนฉัน.

  These are my students.
  เหล่านี้เป็นนักเรียนของฉัน

  Are those your guitars?
  กีตาร์เหล่านั้นเป็นของเธอหรือ?

  Those are my favorite flowers.
  เหล่านั้นเป็นดอกไม้โปรดของฉัน

การใช้ a an the ฉบับเข้าใจง่ายๆ


ถ้าพูดถึง Articles หลายคนคงจะงงๆส่ายหัวนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่ามันคือ a an the ล่ะ คุณคงร้องอ๋อขึ้นมาทันที ไอ้เจ้า Articles หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า คำนำหน้านาม ไม่ใช่เรื่องใหม่ พวกเราเรียนคำนำหน้านามกันมาตั้งแต่ชั้นประถมกันล่ะ ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่พวกเรายังใช้ผิดใช้ถูกกันอยู่เลยบางคนนี่ยิ่งหนักถึงกับใช้มันเลย เพราะคิดว่าถึงไม่ใช้ ยังไงซะฝรั่งก็เข้าใจอยู่ดี ...เออมันก็จริงนะ ฝรั่งฟังเข้าใจ แต่ๆช้าก่อน! ถ้าอยากจะใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาล่ะก็ จำเป็นมากๆเลยนะที่จะต้องใช้คำนำหน้านา

งั้นมาลองทบทวนวิธีการใช้ a an the แบบเข้าใจง่ายๆกันหน่อยเป็นไง รับรองว่าอ่านจบคุณจะใช้ได้อย่างถูกต้องชัวร์


ทำความรู้จักกับ a และ an (Indefinite article)
  • a,an ทั้งสองตัวนี้แปลว่า ‘one’ หนึ่ง ใช้นำหน้านามที่นับได้ (Countable noun) และเป็นเอกพจน์ (singular) มีอันเดียว มีสิ่งเดียวเท่านั้น เช่น แมวหนึ่งตัว = a cat, ค้างคาวหนึ่งตัว = a bat, ช้างหนึ่งเชือก = an elephant, หนึ่งชั่วโมง = an hour เป็นต้น
  • a,an ใช้เมื่อกล่าวถึงคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สิ่งทั่วๆไป เป็นคำนำหน้านามที่ไม่ชี้เฉพาะ (indefinite article)  ไม่เจาะจงว่าเป็นสิ่งไหน เช่น
      Can you give me a banana?
    เธอหยิบกล้วยสักลูกให้หน่อยได้ไหม ( a banana กล้วยลูกไหนก็ได้ ไม่เจาะจงว่าเป็นกล้วยลูกไหน)

      Do you have a car?
      คุณมีรถยนต์สักคนไหม ( a car เป็นรถยนต์อะไรก็ได้สักคัน)

  • a,an ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรก เช่น
      I bought a car yesterday.
      เมื่อวานฉันซื้อรถมาคันหนึ่ง

      Last night we went to a bar.
      เมื่อคืนนี้พวกเราไปบาร์มา

  • a,an ใช้เมื่อกล่าวถึงหนึ่งสมาชิกในกลุ่ม เช่น
     Tom is a student.
     ทอมเป็นนักเรียนคนหนึ่ง (ทอมเป็นหนึ่งในกลุ่มของนักเรียน)
     She is an actress.
     เธอเป็นนักแสดงคนหนึ่ง 

  • a,an ใช้กับสัญชาติหรือศาสนา เช่น
         I am a Buddhist.
     ฉันเป็นชาวพุทธ
     John is an English man.
     จอห์นเป็นชาวอังกฤษ

  • a,an ใช้กับวันประจำสัปดาห์ ที่ไม่ระบุเจาะจง เช่น
     I was born on a Friday.
     ฉันเกิดวันศุกร์

  • a,an ใช้หลังคำว่า Such และ What เช่น
    What a lovely day.
    วันนี้เป็นวันที่ดีจัง
    He is such a good boy.
    เขาช่างเป็นเด็กดีจัง



การใช้ a และ an

  • a (อ่านว่า อะหรือเอ) ใช้นำหน้าคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์และขึ้นต้นด้วยพยัญชนะหรือขึ้นต้นด้วยสระแต่ออกเสียงเป็นพยัญชนะ อย่างตัว u, e ที่อ่านออกเสียงเป็น ยอ (เช่น university, uniform, euro)
ตัวอย่าง
     a book = หนังสือหนึ่งเล่ม
     a piano = เปียโนหนึ่งหลัง
     a house = บ้านหนึ่งหลัง
     a university = มหาวิทยาลัยหนึ่งแห่ง ( university ขึ้นต้นด้วยสระแต่ออกเสียงเป็นพยัญชนะ ยอ ไม่ช่สระ ออจริงใช้ a)


  • an (อ่านว่า แอ่นหรือเอิ่น)  ใช้นำหน้าคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์และขึ้นต้นด้วยสระ ได้แก่ a, e, i , o และ u หรือขึ้นต้นด้วยพยัญชนะแต่ออกเสียงเป็นสระ ได้แก่ h (เวลาอ่านจะไม่ออกเสียง h แต่ออกเสียงสระตัวต่อไปแทน เช่น คำว่า hour (เอาเออะ), honor (ออนเนอะ, honest(ออเนส) เป็นต้น

ตัวอย่าง
     an apple = แอปเปิ้ลหนึ่งลูก
     an hour = หนึ่งชั่วโมง
     an umbrella = ร่มหนึ่งคัน
     an interesting book = หนังสือน่าสนใจหนึ่งเล่ม

ไม่ใช้ a และ an ในกรณีดังนี้
  • ไม่ใช้กับนามพหูพจน์ (Plural nouns) เพราะว่า a และ an แปลว่า หนึ่ง มันจะใช้กับพหูพจน์ที่มีมากกว่าหนึ่งไม่ได้
  • ไม่ใช้กับคำนามนับไม่ได้ (Uncountable nouns) เพราะว่า a และ an ใช้กับนามเอกพจน์เท่านั้น
  • ไม่ใช้กับคำนามที่เป็นนามธรรม (Abstract nouns) เป็นพวกคำนามที่เป็นนามธรรม ความรู้สึก อุดมคติ เป็นนามที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ เช่น Happiness(ความสุข) Beauty(ความสวย) danger(ความอันตราย) truth (ความจริง)



ทำความรู้จักกับ The (Definite article)

  • The ใช้นำหน้าคำนามนับได้และนับไม่ได้ ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ ที่ต้องการชี้เฉพาะเจาะจง
  • The เป็นคำนำหน้านามที่ใช้กล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเจาะจง(Definite article) สิ่งนั้นเป็นที่รู้กันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง
  • The อ่านออกเสียงได้ 2 อย่างคือ ถ้า The จะอ่านออกเสียงว่า เดอะ เมื่อนำหน้าคำนามที่ออกเสียงพยัญชนะ เช่น The car (เดอะ คารฺ) The telephone (เดอะ เทเลโฟน) the computer (เดอะ คอมพิวเทอะ) และ The จะอ่านออกเสียงว่า ดิ เมื่อนำหน้าคำนามที่ออกเสียงสระ เช่น The apple (ดิ แอพเพิ้ล) The exit (ดิ เอ็กซิท) The onion (ดิ อันเยิ่น)

การใช้ The
  • ใช้ The เมื่ออ้างถึงสิ่งที่กล่าวไปแล้ว เช่น
     I saw a movie las night. The movie was a bit boring.
     เมื่อคืนฉันไปดูหนังเรื่องหนึ่งมา (ใช้ a movie เพราะเป็นการเอ่ยถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก) หนังเรื่องนั้น (ใช้ the movie เป็นการอ้างถึงหนังที่กล่าวไปข้างต้น) ค่อนข้างน่าเบื่อ
  • ใช้ The เมื่อคิดว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในสถานที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการเอ่ยถึงมาก่อนก็ตาม เช่น
       Excuse me, Do you know where the bathroom is?
     ขอโทษนะครับ คุณทราบไหมครับว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน (คุณเชื่อว่าจะต้องมีห้องน้ำอยู่แถวๆนั้นแน่นอน)

     Mom, Can I borrow the car?
     แม่ครับ ผมขอยืมรถหน่อยได้ไหม (รถยนต์คันที่เป็นของครอบครัว)

  • ใช้ The เมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่มีเพียงสิ่งเดียว เช่น
     The earth goes round the sun.
     โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ (มีโลกเพียงหนึ่งใบและพระอาทิตย์เพียงหนึ่งดวง)

     I want to travel around the world.
     ฉันอยากเดินทางรอบโลก

     The Pope is visiting France.
     พระสันตปาปาเยี่ยมประเทศฝรั่งเศส

  • ใช้ The นำหน้าเมื่อเปรียบเทียบขั้นสุด (Superlative Degree)หรือการเรียงลำดับ (Ordinal number) เช่น
     She is the tallest girl in the class.
     เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สูงที่สุดในห้องเรียน

     I am the second child of three in my family.
     ฉันเป็นลูกคนที่สองจากสามคนในครอบครัวของฉัน

  • ใช้ The นำหน้าคำคุณศัพท์(adjective) เพื่ออ้างถึงกลุ่มคนนั้นๆอาทิ the poor(คนจน) the young(วัยรุ่น) the elderly(คนแก่) the sick(คนป่วย) the homeless (คนไร้บ้าน) เช่น
     Do you ever wonder why the rich always seem to get richer?
     คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมพวกคนรวยถึงได้รวยเอาๆ

  • ใช้ the นำหน้าชื่อเครื่องดนตรี เช่น the guitar the piano the violin เช่น
     The guitar is my favorite instrument.
     กีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีที่ฉันชอบ

  • ใช้ the กับคำต่อไปนี้ the sky, the sea, the ground, the environment เช่น
     We must do something to protect the environment.
     พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม

  • ใช้ the นำหน้า same (the same) แปลว่า เหมือน เช่น
     Your pen is the same color as mine.
     ปากกาของเธอมีสีเหมือนของฉันเลย

  • ใช้ the กับชื่อประเทศที่อยู่ในรูปพหูพจน์และประเทศที่มีคำว่า kingdoms, states, republic เช่น The Netherlands, The United Kingdoms, The United States of America, The People’s Republic of China เช่น
     He came from the Netherlands.
     เขามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์

  • ใช้ the กับชื่อหนังสือพิมพ์ เช่น The Heralds, The New York Times, The Guardian เช่น
     The New York Time is a daily newspaper published in New York City.
     หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์ เป็นหนังสือพิมพ์ประจำวันที่พิมพ์ในเมืองนิวยอร์ค

  • ใช้ the นำหน้านามที่เป็นชื่อของเทือกภูเขา หมู่เกาะ แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร คลอง ป่า เช่น the Panama Canal, the Himalayas, the Amazon เช่น
     The Amazon is a rainforest in South America.
     ป่าอะมาซอน เป็นป่าร้อนชื้นในอเมริกาใต้

  • ใช้ the กับชื่ออาคารและงานศิลปะที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง รวมถึง พิพิธภัณฑ์และอนุสาวรีย์เช่น the Leaning Tower of Pisa, The Mona Lisa, The Victory Monument
     The Leaning Tower of Pisa is the most famous monument in the world.
     หอเอนปิซ่าเป็นอนุเสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

  • ใช้ the กับชื่อโรงแรมและร้านอาหาร The Hilton, The Four Seasons, The Ritz Hotel
     We are staying in the Hilton.
     พวกเราพักอยู่ที่โรงแรมฮิลตัน

  • ใช้ the กับนามสกุล เพื่อหมายถึงครอบครัวนั้น เช่น The Browns ,The Jensens
     The Jensens are coming to have dinner with us.
     ครอบครัวเจนเซ่นกำลังจะมากินอาหารเย็นกับพวกเรา


ไม่ใช้ the ในกรณีดังนี้
  • เมื่อพูดถึงสิ่งทั่วๆไปไม่เจาะจง เช่น Fruit is good for you.
  • ชื่อประเทศ ที่ไม่มีคำว่า Republic , Kingdom, States หรือประเทศที่อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น Thailand, Korea, Japan, New Zealand
  • ชื่อรัฐ, จังหวัด , เมือง,ถนน,ชื่อสวนสาธารณะ เช่น Chonburi, Sukumwit Road, Eden Park
  • ชื่อคนหรือชื่อตำแหน่งพร้อมกับชื่อคน เช่น John ( ไม่ใช้The John) President Trump (ประธานาธิบดีทรัมพ์) Princess Anne (เจ้าหญิงแอน)
  • ชื่อมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน สถาบัน เช่น Kasetsart University, Victoria Univeristy, Orewa School
  • ชื่อเกมกีฬา เช่น football, tennis, badminton, skiing
  • ชื่อภาษา เช่น English, Spanish, Thai, Japanese ยกเว้นภาษาที่คำว่า " language " อยู่ด้วย เช่น The English language, The Japanese language
  • ชื่อฤดูกาล เช่น Winter, Summer, Spring, Autumn
  • ชื่อมื้ออาหาร เช่น Breakfast, Lunch, Dinner
  • คำนามอย่าง school, church, hospital, prison, bed, work, home จะไม่ใช้ the ยกเว้นเมื่อต้องการเจาะจงลงไปแน่นอนว่าเป็นสถานที่นั้นเท่านั้น จึงใช้ the
  • ชื่อบริษัท สายการบิน เช่น Sony, Fuji, New Zealand Airline, Thai Airways




สำนวน Speak of the devil พูดถึงปิศาจ ปิศาจก็มา



เวลาที่กำลังเมาท์ใครบางคนอยู่เพลินๆ แล้วจู่ๆคนๆนั้นก็โผล่หน้ามาพอดี  ถ้าเป็นภาษาไทยเราจะพูดว่า ตายยากจริงๆ พูดถึงก็โผล่มาเลย

สำหรับภาษาอังกฤษมีสำนวนคล้ายๆกัน คือ Speak of the devil หรือ Talk of the devil ย่อมาจาก ‘Speak of the devil and he shall appear’ เปรียบเทียบเหมือนกับการที่เอ่ยชื่อถึงปีศาจแล้วปิศาจจะปรากฎกายขึ้นมา

ใช้สำนวนนี้:พูดเมื่อบุคคลหนึ่งที่กำลังพูดถึงปรากฎตัวขึ้นมาทันที สำนวนนี้ยังสามารถใช้ได้กับวัตถุสิ่งของแล้วของสิ่งปรากฎมาให้เห็นพอดี




ตัวอย่าง

A: My boyfriend is very handsome, I hope you can meet him.
     แกรู้ป่ะแฟนฉันเนียหล่อมาก ฉันอยากให้แกได้เจอ

B: Yes, I want to see him
     เออ ก็อยากเจอตัวเหมือนกันล่ะ

C: Hello!
     สวัสดีครับ

A: Wow, Speak of the devil! I was just talking about you.
     ว้าย ตายยากจริงๆ นี่ฉันเพิ่งจะพูดถึงคุณไปเองนะ

การใช้ There is / There are




ก่อนจะมาดูวิธีการใช้ There is และ There are  พอจะรู้ไหมคะว่า There is และ There are แปลว่าอะไร? หลายคนอาจจะเดาทางตอบว่า  There = ที่นั่น  is =คือ รวมกันเป็น ที่นั่นคือ 

ใครตอบแบบนี้ยอมรับมาซะดีๆ 5555+++ ถ้าตอบแบบนี้ มาค่ะต้องมาทบทวนวิธีการใช้ There is และ There are กันใหม่ล่ะ

There is / There are มันแปลว่า มีใช่ค่ะ มันแปลว่า มี แต่มันคนละเรื่องกับมี has/have นะ เราจะใช้ There is / There are พูดถึงบางสิ่งที่มีอยู่ในที่ๆแห่งนั้น และถึงจะมีความหมายเหมือนกันแต่ว่าทั้งสองมีการใช้งานที่แตกต่างกัน มาดูกันว่ามันใช้ยังไง

หลักการใช้ There is / There are
  • There is ใช้กับคำนามเอกพจน์ หรือ คำนามที่นับไม่ได้
There is a notebook and a pen in my bag.
มีสมุดจดหนึ่งเล่มและปากกาหนึ่งแท่งในกระเป๋าของฉัน

There is some coffee in the pot.
มีกาแฟอยู่ในขวดนิดหน่อย
·         
  •  There are ใช้กับคำนามพหูจน์ (สิ่งของมากกว่า 1 สิ่ง)

There are two dogs in front of our house.
มีหมาสองตัวอยู่หน้าบ้านของเรา

There are many computers available around the library.
มีคอมพิวเตอร์หลายตัวในห้องสมุด
·         
โครงสร้างประโยคบอกเล่า

There is + นามเอกพจน์ (Singular noun) หรือ นามนับไม่ได้(uncountable noun)

There is a book on the table.
มีหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะ (หนังสือ เป็นคำนามนับได้เอกพจน์)

There is some sugar on the floor.
มีน้ำตาลจำนวนหนึ่งบนพื้น (น้ำตาล เป็นคำนามนับไม่ได้)

There are + นามพหูพจน์ (Plural noun)

There are two birds on the tree.
มีนกสองตัวอยู่บนต้นไม้ (นกสองตัว เป็นคำนามพหูพจน์ มากกว่าหนึ่งสิ่ง)

        โครงสร้างประโยคปฎิเสธ

There is + not+ นามเอกพจน์ (Singular noun)

There is not a lizard on the wall.
ไม่มีจิ้งจกบนกำแพงสักตัว

There is + not+ any*+ นามนับไม่ได้ (uncountable noun)

There is not any milk in the fridge.
ไม่มีนมในตู้เย็นสักนิด

There are + not+ any*+ นามพหูพจน์ (Plural noun)

There are not any cats in the room.
ไม่มีแมวในห้องเลยสักตัว

**เมื่อเป็นประโยคปฎิเสธ There is +นามนับไม่ได้ และ There are จะตามด้วย any หลัง not เพื่อต้องการจะบอกว่า ไม่มีสิ่งนั้นเลย

       โครงสร้างประโยคคำถาม

Is +there +นามเอกพจน์ (Singular noun)

Is  there  a dog in the house?
มีหมาในบ้านหลังนั้นไหม

วิธีการคำตอบ Yes, there is. / No, there is not.

Is +there +any+ นามนับไม่ได้(uncountable noun)
       
      Is there any rice in the rice cooker?
      มีข้าวอยู่ในหม้อหุงข้าวไหม
       
      วิธีการคำตอบ Yes, there is. / No, there is not.

Are + there +นามพหูพจน์ (Plural noun)

Are there cats in the chair?
มีแมวในห้องไหม

วิธีการคำตอบ Yes, there are. / No, there are not.

·         
โครงสร้างประโยคคำถาม How many กับ there are

How many+ นามพหูพจน์ (Plural noun) + are + there+ complement?

How many books are there on the shelf?
บนชั้นหนังสือมีหนังสือกี่เล่ม

How many students are there in your class?
ในห้องเรียนคุณมีนักเรียนกี่คน


ความแตกต่างระหว่าง  There is/are not any กับ There is/are no
  • There is not any กับ There is no
ตัวอย่าง
     There is not any milk in the fridge.
     There is no milk in the fridge.
     ทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกันคือ ในตู้เย็นไม่มีนมเลย

  • There are not any กับ There are no
ตัวอย่าง
     There are not any eggs in the fridge.
     There are no eggs in the fridge.
     ทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกันคือ ในตู้เย็นไข่เลยสักใบ

สิ่งที่แตกต่างกันคือ ประโยคที่ใช้ no เป็นการเน้นย้ำว่า ไม่มี ฟังดูรุนแรงมากกว่าประโยค not any  แต่อย่าลืมว่า not any และ no ใช้กับประโยคปฎิเสธ There is +นามนับไม่ได้ และ There are + นามพหูพจน์ เท่านั้น 

เพิ่มเติม
  • There is และ There are ผันกริยาตามกาล 
       กาลอดีตจะผันเป็น There was และ There were 
     กาลอนาคตจะเป็น There will be
  • รูปย่อของ There is และ There are
       There is เป็น There’s
     There is not เป็น There isn’t
     There are เป็น There're 
     There are not เป็น There aren’t